แชมป์นี้ที่รอคอย เลสเตอร์ทุบเชลซี คว้าถ้วย เอฟเอ คัพ

                ยูริ ตีเลมันส์ รับบทฮีโร่ตะบันชัยสำคัญให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงดำกับ เชลซี ทำให้เฉือนเอาถ้วยแชมป์มาได้ด้วยสกอร์ 1-0 เป็นการประเดิมแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 137 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็เป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาได้ ในศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา

                รายการแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คัพ นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2020-21 หลังจากที่ เชลซี จัดการจม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในรอบตัดเชือก ก็เข้ามารอดวลแข้งกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งจะทุบ “นักบุญแดนใต้” เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 ไปด้วยเช่นกัน

                โธมัส ทูเคิ่ล ที่มีโอกาสได้ลุ้นเป็นกุนซือเลือดด๊อยท์ซคนแรกที่พาทีมคว้าถ้วยใบนี้กลับไปตั้งไว้ที่สโมสร ก็วางใจให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาคุมเกมกลางคู่กับ จอร์จินโญ่ ขณะที่คู่ เมสัน เมาน์ท กับฮาคิม ซิเย็ค จะช่วยกันยืนหน้าต่ำคอยปั้นเกมให้ ติโม แวร์เนอร์ ที่เล่นหน้าเป้า

                ทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ได้ลุ้นเช่นกันหลังจากที่เข้ารอบชิงมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ต้องกลับรังมือเปล่าทุกรอบ หนนี้ได้ จอนนี่ อีแวนส์ มาประจำการแผงหลัง ให้ ยูริ ตีเลมันส์ ปั้นเกมกลาง คู่หน้าวาง เคเลซี่ อิเฮียนาโช่ ควง เจมี่ วาร์ดี้ ปิดสกอร์

                ในช่วง 10 นาทีแรกของเกม ทั้งสองทีมต่างหยั่งเชิงกันก่อน แม้ว่าลูกทีมของ ทูเคิ่ล จะครองบอลได้ดี แต่ก็เข้าเขตอันตรายของฝั่ง “บีร็อดจ์” ไม่ได้

                นาที 17 ติโมธี คาสตาญ ได้จังหวะตักให้ เจมี่ วาร์ดี้ ปรี่เข้าไปซัดติดบล็อกแนวรับ เชลซี

                นาที 20 ยูริ ตีเลมันส์ ปั่นฟรีคิกจากฝั่งขวาไปหา ซากลาร์ โซยุนชู ที่เข้ามาโขกเหินคานออกไป ชวดโอกาสทำประตูให้ เลสเตอร์ แค่นิดเดียว

                นาที 23 เมสัน เมาน์ท พาลูกหนีแนวรับ เลสเตอร์ เข้ากดติดบล็อค และหลังจากนั้นอีก 4 นาที ก็องเต้ พาบอลขึ้นสวนแล้วไหลให้ ติโม แวร์เนอร์ กดหลุดกรอบแบบได้ลุ้น

                นาที 30 เชลซี หวิดได้ขึ้นก่อนอีกหนเมื่อลูกเปิดมุมผ่าน ติอาโก้ ซิลวา มาเข้าหัว ติโม แวร์เนอร์ ที่ขึ้นเต็มเหน่ง เด้งหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย

                นาที 33 “บีร็อดจ์” ส่ง มาร์ค อัลไบร์ทตัน ลงมาตะบันแทน จอนนี่ อีแวนส์ ที่เจ็บจนไปต่อไม่ไหว

                นาที 39 ฮาคิม ซิเย็ค ได้บอลจากขวาก่อนจะหักให้ ติโม แวร์เนอร์ เข้าซัดมุมแคบแต่ก็ติดบล็อคของ โฟฟาน่า แม้ว่าจะเข้าซ้ำอีกดาบ แต่ว่า โฟฟาน่า ก็ยังตามไปช่วยกันไว้ได้อีก

                นาที 42 “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ได้ลุ้นกันอีกหนเมื่อ ตีเลมันส์ ปั่นฟรีคิกเข้ากรอบให้ ซากลาร์ โซยุนชู โขกหลุดเสาแรกออกไป

                จบครึ่งแรก เชลซี เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-0

                ต่อครึ่งหลังนาที 53 ฝั่ง “สิงโตน้ำเงินคราม” ได้ลุ้นบ้างเมื่อ จอร์จินโญ่ ทะลุช่องมาให้ ก็องเต้ ตักเข้าเสาไกลให้ มาร์กอส อลอนโซ่ ถอยไปโขกเบา ๆ เข้ามือนายด่าน เลสเตอร์

                ในที่สุดนาที 63 เป็นฝั่ง เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ประตูแรกไปจากจังหวะที่ รีซ เจมส์ เปิดไปติด อโยเซ่ เปเรซ ก่อนจะเป็น ลุค โธมัส ที่เข้าไปปาดให้ ยูริ ตีเลมันส์ ซัดจากระยะ 30 หลา พุ่งหนีมือนายด่าน “สิงห์บูลส์” เสียบสามเหลี่ยมเข้าประตูไปสวย ๆ

                ห้านาทีต่อมา โธมัส ทูเคิ่ล ตัดสินใจส่ง คริสเตียน พูลิซิช และเบน ชิลเวลล์ ไปแก้เกมแทน ฮาคิม ซิเย็ค และมาร์กอส อลอนโซ่ ส่วนฝั่ง ร็อดเจอร์ส ก็ให้ เจมส์ แมดดิสัน ลงไปเล่นแทน เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่ฟอร์มตันตั้งแต่ต้นเกม

                นาที 78 เชลซี หวิดตีเสมอจากจังหวะที่ เมสัน เมาน์ท เข้าเก็บตกในกรอบมากดใส่ แต่ว่า ชไมเคิ่ล ยังบินไปปัดเอาไว้ได้

                นาที 89 เชลซี ต้องชวดโอกาสสำคัญในการต่อเวลาออกไป หลังจาก ติอาโก้ ซิลวา ตักยาวเข้าไปให้ เบน ชิลเวลล์ กดผ่าน ชไมเคิ่ล โดน เวส มอร์แกน เข้าประตูไปแล้ว แต่วีเออาร์ชี้ว่า ชิลเวลล์ ล้ำหน้าไปก่อน

                จบเกม เชลซี แพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1